NIDA HUB | National institue of development administration.
e-Brochure
Course Name:
BA8880: Business Analyst for Technology and Innovation Development & PMI-PBA® Exam Preparation
Instructor:
Assoc.Prof.Dr.Jongsawas Chongwatpol
Start-End Date:
Fall 2023 & Spring 2024 (Sun: 08.00 - 11.00)
Course Duration:
45 hrs. (Flexible & Professional MBA, every Sunday, 08.00 - 11.00)
Short Description:
นักวิเคราะห์ธุรกิจสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการเตรียมสอบ Global Certificates: PMI Professional in Business Analysis (PMI-PBA)®
Course Overview:

หลักสูตรเตรียมความพร้อมสำหรับผู้บริหารที่ต้องการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ Digital Disruption หลักสูตรจะมุ่งเน้นในการพัฒนาทักษะในการเข้าใจปัญหา การประเมินและวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยผ่านการกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล การกำหนดทางเลือก (Options) การออกแบบและการกำหนดขอบเขตของ Solutions (หรือนวัตกรรมใหม่ๆ) ในการแก้ไขปัญหาขององค์กรหรือการรองรับต่อโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ การจัดทำแผนการวิเคราะห์ธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง การบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การวางแผนการสื่อสาร และการกำหนดวิธีการตรวสอบ ติดตาม และประเมิน Solutions เพื่อให้แน่ใจว่า Solutions ที่ต้องการส่งมอบนั้นมีความถูกต้องสามารถนำไปใช้งานได้จริงตามจุดประสงค์ของโครงการและสามารถแก้ไขปัญหาและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน เป็นต้น นอกจากนี้หลักสูตรนี้ยังครอบคลุมเนื้อหาสำหรับการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ Global Certificates: PMI Professional in Business Analysis (PMI-PBA)® ให้กับผู้ที่สนใจที่จะทำงานในสายงาน Business Analysis อีกด้วย ทั้งนี้ กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลักสูตรนี้จะมีการประยุกต์นำแนวคิดของ Design Thinking และ Lego® Serious Play® เข้ามาช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการมองและแก้ไขปัญหาขององค์กร

Target Audience:
  • เป้าหมายหลัก: ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง ผู้จัดการ หัวหน้างาน และผู้ให้คำปรึกษาทางด้าน IT และ Technology ที่ต้องการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในสายงาน Business Analysts

 

  • เป้าหมายรอง: ผู้ที่สนใจเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ Global Certificates: PMI Professional in Business Analysis (PMI-PBA)®
Course Fees:
-
Venue:
อาคารบุญชนะอัตถากร และ NIDA Hub สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Course Curriculum:

PMI Professional in Business Analysis (PMI-PBA)®

 

PMI-PBA® เป็นประกาศนียบัตรเพื่อรับรองผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญการวิเคราะห์ความต้องการของธุรกิจ ซึ่งหน้าที่หลักของ Business Analysts (BA) ก็คือ การศึกษาความต้องการที่แท้จริงของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Need Assessment) วิเคราะห์ปัญหาหรือโอกาสขององค์กรเพื่อช่วยให้การของธุรกิจทั้งในระดับกลยุทธ์ (Strategic Level) ระดับการบริหารงาน (Managerial Level) และระดับปฏิบัติงาน (Operational Levels) เป็นไปอย่างเหมาะสม การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาให้ตรงกับทิศทางขององค์กรหรือกลยุทธ์ของธุรกิจนั้นๆ ผ่านเทคโนโลยีที่ชั้นนำ รวมถึงการจัดทำแผนการวิเคราะห์ธุรกิจ การเข้าใจ จัดเก็บและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือโอกาสที่เกิดขึ้น การกำหนดขอบเขตของ Solutions การวิเคราะห์และศึกษาความเป็นไปได้ของ Solutions โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่มีความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาของธุรกิจและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, Big Data, และ Business Intelligence ที่จะนำมาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และการติดตามผลของการพัฒนา Solutions เพื่อให้แน่ใจว่า Solutions ที่ส่งมอบนั้นมีความถูกต้องและตรงตามความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน

 

กล่าวโดยสรุป คือ Business Analyst จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง Business (องค์กร) และ Technology (Solution Teams) ดังนั้นเนื้อหาในหลักสูตรจะครอบคลุมเนื้อหาของการสอบประกาศนียบัตร PMI-PBA® ทั้งหมด 5 ด้าน ดังนี้

 

  • Domain #1: Need Assessment
  • Domain #2: Planning
  • Domain #3: Analysis
  • Domain #4: Traceability and Monitoring
  • Domain #5: Solution Evaluation and Deployment

 

ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สามารถนำไปปรับใช้กับหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น Smart Retails, Smart Manufacturing, และ IoT พร้อมทั้งเข้าใจแนวคิดและพัฒนาทักษาะของการทำงานในสาย Business Analyst ไปพร้อมกันอีกด้วย

 

 

Design Thinking

 

Design Thinking คือกระบวนการคิด การแก้ปัญหา และการสร้างนวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในหลายๆ ภาคอุตสหากรรม เช่น ในกาารออกแบบสินค้าใหม่ๆ ของแผนก R&D การแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคน เช่น ปัญหาการรอคิวที่ยาวนาน การสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้า เป็นต้น หรือกระบวนการที่ต้องมีการทำความเข้าใจในปัญหาต่าง ๆ (Empathize) อย่างลึกซึ้ง โดยเอาผู้ใช้ (ลูกค้า พนักงาน บุคลากร เจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหรือระบบทั้งทางตรงและทางอ้อม) เป็นศูนย์กลาง (Human Centered Design) และสร้างความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจาก Design Thinking Team ที่มาจากหลายสาขา  หลาย ๆ มุมมอง มาร่วมกันคิดสร้างเป็นไอเดีย แนวทางการแก้ไขปัญหา และนำเอาแนวทางต่าง ๆ มาจัดทำเป็นต้นแบบ (Prototype) ทำการทดสอบ (Test) และพัฒนา (Development) เพื่อให้ได้แนวทางหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานหรือลูกค้าก่อนที่จะนำ Solutions ที่ได้ไปปรับใช้จริง (Deployment)

 

  • Empathize คือ กระบวนการแรกของ Design Thinking ที่ Design Thinking Team จะต้องทำการเรียนรู้และทำความเข้าใจ ความต้องการที่แท้จริง และลักษณะพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ผ่านการสังเกตพฤติกรรม (Participant Observations) และการสัมภาษณ์ (Interview) เพื่อให้เข้าใจปัญหาหรือความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยการนำตัวเราเข้าไปอยู่ในสถานะของกลุ่มตัวอย่าง ว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังคิด กำลังพูด และกำลังทำอะไร ต้องมีความเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมาย ชอบอะไรไม่ชอบอะไร เป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายคืออะไร อะไรคือปัญหาที่ผู้ใช้ประสบอยู่ ช่วง Empathize นั้นมีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากข้อมูลที่ได้มาตรงกับความต้องการของผู้ใช้ จะนำไปสู่การระบุปัญหาจากมุมมองของผู้ใช้หรือกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าไปช่วยในการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

 

  • Define คือการระบุถึงปัญหาสำคัญและกำหนดสมมุติฐานเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังรวมถึงการตีกรอบของปัญหา โดยในขั้นตอนนี้จะทำให้ Design Thinking Team เข้าใจความต้องการของผู้ใช้หรือกลุ่มเป้าหมายถึงสาเหตุของปัญหาจริง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ตรงจุด และเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน โดยขั้นตอนนี้เราต้องระบุให้ได้ถึง Root Cause หรือสาเหตุของปัญหา เพื่อหา Insight ของกลุ่มตัวอย่าง ถ้าสามารถแก้สาเหตุได้ ปัญหาก็จะหมดไป ขั้นตอนนี้คือการนำข้อมูลที่เราเก็บมาจากกลุ่มเป้าหมายมาทำการวิเคราะห์ และดูว่ามีรูปแบบ (Pattern) หรือ ความหมาย (Meaning) อะไรบ้างที่สามารถใช้อธิบายปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายต้องการแก้ไขหรือประสบอยู่ ซึ่ง Tools ที่สำคัญที่จะช่วยให้การตีความปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้นก็ คือ Point-of-View (POV) Statement และ How-Might-We (HMW) Statement

 

  • Ideation คือการระดมสมอง (Brainstorming) เพื่อหา Idea ในการแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมาย พร้อม ๆ กับการเลือก Idea โดยขั้นตอนนี้ทาง Design Thinking Team จะเน้นไปที่การระดมสมองเพื่อให้ได้ปริมาณของ Ideas จำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้ (Convergent Thinking) การระดมสมองเน้นไปที่ What โดยยังไม่ต้องสนใจ How รวมถึงข้อจำกัน (Constraint) และ สมมุติฐานของการแก้ไขปัญหา (Assumptions) หรือ ความเสี่ยง (Risk) ที่จะเกิดขึ้นของการนำ Idea นั้นไปสร้าง Solutions ซึ่งหลังจากได้ Idea ที่มากพอ ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจเลือก Idea ที่ดีที่สุด หรือที่เรียกว่า Divergent Thinking มาเพื่อนำมาพัฒนา Idea เหล่านั้นให้เป็นรูปร่างมากขึ้น โดยการตัดสินใจสามารถทำได้ด้วยการให้ทีมงานทำการ Vote ให้กับ Idea ที่คิดว่าน่าจะแก้ปัญหาและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด ณ ขณะนั้น

 

  • Prototype คือการนำ Idea ที่เลือกจากขั้นตอน Ideation มาทำการจัดทำต้นแบบ (Prototype) โดยเน้นการจัดทำต้นแบบที่มีต้นทุนต่ำ และสามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น (Low-Cost and Rapid Prototypes) สาเหตุที่ Design Thinking ต้องมีการจัดทำ Prototype เพราะต้องการให้ Idea นำไปสู่สิ่งที่จับต้องได้ (Tangible) ผู้ใช้สามารถเห็น สัมผัส และใช้งานในขั้นต้นได้ การใช้ Prototype ทำให้ผู้ใช้ได้เห็นภาพของ Product หรือ Solution ที่จะมาแก้ไขปัญหา ดังเช่นวลี IKIWISI (I Know It When I See It) แทนที่จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจินตนาการถึงแนวคิดในการแก้ไขปัญหาซึ่งอาจจะทำให้ความเข้าใจเกิดการคลาดเคลื่อนได้ ถึงแม้ว่า Prototype ยังไม่สมบูรณ์ แต่สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่ผู้ใช้สามารถให้ Feedback เพื่อตรวจสอบว่า Solutions ที่ต้องการแก้ไขปัญหา สามารถตอบโจทย์ในสิ่งที่ Users ต้องการได้หรือไม่ หรือเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดหรือเปลี่ยนแปลง แก้ไขได้ทันทีโดยที่ไม่เสียเวลาและต้นทุนมาก 

 

  • Test คือ ขั้นตอนสุดท้ายของ Design Thinking ซึ่งเป็นการนำต้นแบบ (Prototype) ที่จัดทำขึ้นไปทำการทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายที่มีการศึกษาตั้งแต่ขั้นตอน Empathize โดย Design Thinking Teams นำ Prototype ไปอธิบายและให้กลุ่มเป้าหมายทดสอบใช้งานจริงและนำเอา Feedback เช่น กลุ่มตัวอย่างชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอะไรบ้าง มาทำการปรับปรุง Prototype เพื่อนำผลตอบรับที่ได้กลับไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากยิ่งขั้น

 

 

Lego® Serious Play® (LSP®) Methods

 

Lego® Serious Play® (LSP®) คือ เทคนิคในการนำ Lego® (ตัวต่อเลโก้) มาใช้ในการสร้างจินตนาการในการตัดสินใจ สร้างนวัตกรรมและวางแผนกลยุทธ์ให้กับองค์กร LSP® คือกระบวนการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนให้ทีม ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องในองค์กร เป็นต้น สามารถสื่อสารแนวคิดและมุมมองภายในทีมให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทำให้สามารถเห็นภาพรวมของปัญหาในทิศทางเดียวกัน และทำให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม โดยใช้ตัวต่อเลโก้ตัวสื่อความคิดได้อย่างอิสระ กระบวนการของ LSP® จะประกอบไปด้วย 7 กิจกรรมหลัก ดังนี้

 

  • Building Individual Models and Stories
  • Building Shared Models and Stories
  • Creating a Landscape
  • Making Connections
  • Building a System
  • Play Emergence and Decisions
  • Extracting Simple Guiding Principles

 

ตัวอย่างของหัวข้อที่เป็นที่นิยมสำหรับ LSP® Workshop เช่น การกำหนดกลยุทธ์ขององค์กรที่เกิดจากวิสัยทัศน์ของทีมมากกว่าผู้บริหารคนใดคนหนึ่ง หรือกลยุทธ์ของการสร้างทีมที่มุ่งเน้นเป้าหมายของทีมมากกว่าความสำเร็จหรือตัวชี้วัดของตัวบุคคล สำหรับหลักสูตร Technological Data-Driven Design นี้จะมุ่งเน้นไปที่การศึกษาวาอะไรคือ Core Identity ขององค์กร และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, Big Data, หรือ Business Intelligence สามารถช่วยเสริม Strength ขององค์กรได้หรือตรงกับแนวทางการสร้างกลยุทธ์ขององค์กรหรือไม่ หรือการนำ LSP® เทคนิคมาใช้ในการนิยามประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experiences) และทำการประเมินว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ของลูกค้าขององค์กรในด้านใด

Tentative Course Syllabus:

Module #1: Strategy and Vision Development (Business Cases)

  • Lego® Serious Play® (LSP®) Methods (6 ชั่วโมง) on “Competitiveness”
  • Technology Showcase ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่อบรมในแต่ละวัน

 

Module #2: Need Assessment

  • Project Selection and Initiating
  • Business Cases
  • Stakeholder Management
  • Technology Showcase ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่อบรมในแต่ละวัน

 

Module #3: Planning and Elicitation

  • Project Planning
  • Solution Visioning
  • Baseline Solution Scope
  • Elicitation Techniques
  • Technology Showcase ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่อบรมในแต่ละวัน

 

Module #4: Analysis

  • Requirement Analysis
  • Solution Designs
  • Baseline to-be Requirement
  • Technology Showcase ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่อบรมในแต่ละวัน

 

Module #5 – Traceability, Monitoring, Solution Evaluation, and Deployment

  • Change Control Process
  • Assessment of Requirements Change
  • Solution Evaluation
  • Solution Deployment
  • Technology Showcase ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่อบรมในแต่ละวัน
Program Faculty:
รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล
Contact / Support:
lexible MBA, Professional MBA, and Regular MBA
NIDA HUB

Dr. Jongsawas Chongwatpol


Line ID: jongsawas

NIDA CBI - Center for Business Innovation


NIDA Business School


National institue of development administration.


148 serithai Road, Klong chang, Bangkapi , Bangkok Thailand 1024
Tel: +662-377-1232

follow us: